วันอังคารที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2559

สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (สมัยอยุธยา)



สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง)

สมเด็จพระเจ้าอู่ทอง ทรงเป็นปฐมกษัตริย์ของกรุงศรีอยุธยา เสด็จพระราชสมภพ เมื่อปี พ.ศ.๑๘๗๕ ทรงสถาปนาอยุธยาเป็นราชธานี เมื่อปี พ.ศ.๑๘๙๓ ปีขาล โทศก ณ วันศุกร์ เดือนห้า เพลาสามนาฬิกา ห้าบาท ได้รับถวายพระนามว่า สมเด็จพระรามาธิบดีศรีสุนทรบรมบพิตร พระเจ้าอยู่หัว กรุงเทพมหานครบวรทวาราวดีศรีอยุธยา ฯ ทรงครองราชย์ระหว่างปี พ.ศ.๑๘๙๓ - ๑๙๑๒

สมเด็จพระเจ้าอู่ทองทรงตั้งกรุงศรีอยุธยา ณ ชัยภูมิที่เอื้ออำนวยทั้งในด้านความมั่นคงปลอดภัยจากข้าศึกและความอยู่ดีกินดีของชาวอยุธยา คือตั้งอยู่บนดินดอนสามเหลี่ยมที่มีแม่น้ำล้อมรอบ ตัวเมืองมีลักษณะเป็นเกาะ สะดวกในการป้องกันตัวเมืองจากผู้เข้ามารุกราน และพื้นที่เหมาะแก่การเกษตรกรรม เป็นศูนย์กลางทางการค้าและการคมนาคม อันเนื่องจากมีแม่น้ำสามสายคือ แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำป่าสัก และแม่น้ำลพบุรี ไหลมาบรรจบกัน ควบคุมเส้นทางคมนาคมทางน้ำของบรรดาบ้านเมืองที่ อยู่เหนือขึ้นไปที่จะออกสู่ทะเล 

สมเด็จพระเจ้าอู่ทองทรงนำลักษณะการปกครองทั้งของไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งของกรุงสุโขทัย และของขอม มาประยุกต์ใช้กับกรุงศรีอยุธยา ได้จัดการปกครองบรรดาหัวเมืองต่าง ๆ ในราชอาณาจักร ออกเป็น หัวเมืองชั้นใน หัวเมืองชั้นนอก และหัวเมืองประเทศราช ทรงโปรดเกล้า ฯ ให้สมเด็จพระราเมศวร พระราชโอรส ไปครองเมืองลพบุรี และขุนหลวงพะงั่ว ผู้เป็นพี่พระมเหสี ไปครองเมืองสุพรรณบุรี
ในด้านการแผ่ขยายพระราชอาณาเขต ในปี พ.ศ.๑๘๙๕ ได้ทรงโปรดเกล้า ฯ ให้ยกทัพไปตีนครธม ราชธานีของขอม ได้สำเร็จ นับเป็นการทำสงครามครั้งแรกของกรุงศรีอยุธยา ต่อมาในปี พ.ศ.๑๘๙๗ ได้ทรงโปรดเกล้า ฯ ให้ยกทัพไปยึดเมืองชัยนาท ซึ่งเป็นเมืองหน้าด่านของอาณาจักรสุโขทัย เป็นผลให้พระเจ้าลิไทได้ส่งราชทูตมาขอเป็นไมตรีกับกรุงศรีอยุธยา และขอเมืองชัยนาทคืน
นอกจากขอมและสุโขทัยแล้ว พระองค์ได้ทรงสร้างสัมพันธไมตรีกับชาวต่างชาติ เพื่อประโยชน์ทางการค้าและการเมือง โดยได้ทรงแต่งราชทูตไปเจริญทางพระราชไมตรี และการค้ากับจีน อินเดีย เปอร์เซีย ลังกา ชวา มลายูและญวน 


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ พระเจ้าอู่ทอง


สมเด็จพระเจ้าอู่ทองครองราชย์ได้ ๑๙ ปี เสด็จสวรรคต เมื่อปี พ.ศ.๑๙๑๒ พระชนมายุได้ ๕๕ พรรษา


พ่อขุนรามคำแหงมหาราช(สมัยสุโขทัย)

      พระราชประวัติ

         เมื่อพ่อขุนบานเมืองสววคตแล้ว  ผูที่สืบทอดราชสมบัติต่อมา คือ  พ่อขุนรามคำแหง  พระองค์ทรงได้ทำนุบำรุงบ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรืองที่สุด 
        พระราชประวัติพ่อขุนรามคำแหงมหาราชตามความปรากฏในจารึกหลักที่ 1มีใจความว่า พ่อขุนศรีอินทราทิตย์มีพระโอรสด้วยพระชายาพระนามว่า นางเสือง องค์ พระองค์ใหญ่สิ้นพระชนม์เสียตั้งแต่ยังเยาว์ พระองค์กลางทรงพระนามว่า บาลเมือง ดังปรากฏในศิลาจารึกว่า "พ่อกูชื่อ  ศรีอินทราทิตย์  แม่กู  ชื่อนางเสือง  พี่กูชื่อ  บานเมือง  ตูพี่น้องท้องเดียวห้าคน  ผู้ชายสาม  ผู้หญิงโสง"
        พ่อขุนรามคำแหงมหาราชทรงพระราชสมภพปีใดไม่ปรากฏหลักฐานแน่นอน ตามหลักฐานพงศาวดารเมืองเหนือ คือ พงศาวดารเมืองโยนก กล่าวว่า พ่อขุนรามคำแหงมหาราชทรงเป็นพระสหายสนิทและรุ่นราวคราวเดียวกับพญาเม็งราย เจ้าเมืองเชียงใหม่ และพญางำเมือง เจ้าเมืองพะเยา ทรงศึกษาเล่าเรียนอยู่ในสำนักสุกกทันตฤาษี ณ เมือง ละโว้ (ลพบุรี) เป็นศิษย์ร่วมอาจารย์เดียวกับพญางำเมือง ในขณะที่ทรงเล่าเรียนศิลปวิทยาอยู่ร่วมกันนั้นพญางำเมืองเจริญพระชันษาได้ 16 ปี
        เมื่อพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ประกาศตั้งกรุงสุโขทัยเป็นอิสระแล้ว ขุนสามชนเจ้าเมืองฉอดได้ยกกองทัพมาตีเมืองตากอันเป็นเมืองหน้าด่านทางทิศตะวันตกของกรุงสุโขทัย พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ยกกองทัพออกไปสู้รบกับขุนสามชน และพระราชโอรสองค์ที่สามซึ่งเจริญพระชันษาย่างเข้า 19 ปี ทรงเป็นนักรบที่เข้มแข็งในการสงครามเข้าชนช้างชนะขุนสามชน พวกเมืองฉอดจึงได้แตกพ่ายไป เมื่อชนช้างชนะขุนสามชนคราวนั้นแล้ว พ่อขุนศรีอินทราทิตย์พระราชบิดาจึงพระราชทานเจ้ารามเป็น "พระรามคำแหง" ซึ่งคงจะหมายความว่าพระรามผู้เข้มแข็ง หรือ เจ้ารามผู้เข้มแข็ง
        พ่อขุนรามคำแหงมหาราชเสด็จขึ้นครองราชสมบัติเป็นกษัตริย์องค์ที่สามต่อจากพระเชษฐา  คือ  พ่อขุนบานเมืองแห่งราชวงศ์พระร่วง ศักราชที่ปรากฏในศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง (ศิลาจารึกสุโขทัยหลักที่ 1) คือ มหาศักราช 1205 (พ.ศ. 1826) นั้นเป็นปีที่พระองค์ได้ประดิษฐ์อักษรไทยขึ้น มหาศักราช 1207 (พ.ศ. 1828) ทรงสร้างพระมหาธาตุเมืองศรีสัชนาลัย (เข้าใจว่า คือ พระเจดีย์ที่วัดช้างล้อม ในปัจจุบัน) มหาศักราช 1214 (พ.ศ. 1835)โปรดให้สร้างแท่นหิน ชื่อ พระแท่นมนังศิลาบาตร และสร้างศาลา หลังชื่อ ศาลาพระมาสและพุทธศาลา ประดิษฐานไว้กลางดงตาล เพื่อเป็นที่ประทับว่าราชการและทรงสั่งสอนข้าราชการและประชาชนในวันธรรมดา ส่วนวันอุโบสถโปรดให้พระสงฆ์นั่งสวดพระปาติโมกข์และแสดงธรรม รัชสมัยของพระองค์รุ่งเรืองยิ่งกว่ารัชกาลใด ๆ ราชอาณาเขตแผ่ขยายไปกว้างขวาง ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุขอย่างที่เรียกกันว่า "ไพร่ฟ้าหน้าใส" การพาณิชย์เจริญก้าวหน้า ศิลปวิทยาเจริญรุ่งเรืองหลาย
ประการ  ดังนี้
       ด้านการปกครอง  เมื่อพ่อขุนรามคำแหงมหาราชขึ้นครองราชย์  ได้แบ่งการปกครองออกมา  3  รูปแบบ ได้แก่
      ๑.การปกครองพลเมืองยังถือตามคติของคนไทยแต่เดิมอยู่ กล่าวคือ ปกครองอย่างพ่อปกครองลูก  หรือปิตุรักษ์ (Paternalism)   ดังปรากฏในศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงว่า พ่อขุนรามคำแหงมหาราชทรงวางพระองค์อย่างบิดาปกครองบุตรด้วยการสอดส่องความเป็นอยู่ของราษฎร ใครทุกข์ร้อนจะทูลร้องทุกข์เมื่อใดก็ได้ โปรดให้แขวนกระดิ่งที่ประตูพระราชวัง เมื่อราษฎรมีทุกข์ก็ไปสั่นกระดิ่งนั้นให้ได้ยินถึงพระกรรณได้เป็นนิจ ดังข้อความในศิลาจารึกหลักที่ ว่า
        "…ในปากประตูมีกระดิ่งอันหนึ่งแขวนไว้หั้น ไพร่ฟ้าหน้าปกกลางบ้านกลางเมืองมีถ้อยมีความ เจ็บท้องข้องใจมันจะกล่าวถึงเจ้าถึงขุนบ่ไร้ ไปลั่นกระดิ่งอันท่านแขวนไว้ พ่อขุนรามคำแหงเจ้าเมืองได้ยินเรียกเมือถาม สวนความแก่มันโดยซื่อ ไพร่ในเมืองสุโขทัยนี้จึ่งชม.."
        และในหลักจารึกที่๑ ด้านที่๓  ได้กล่าวไว้ว่า "ผิใช่วันสวดธรรม  พ่อขุนรามคำแหง  เจ้าเมืองศรีสัชนาลัยสุโขทัย  ขึ้นนั่งเหนือธะดารหิน  ให้ฝูงทวยลูกเจ้าขุน  ฝูงถ่วยถือบ้านเมืองกัน"  จากคำจารึกนี้แสดงว่า  พ่อขุนรามคำแหงมีความห่วงใยต่อข้าราชบริพาร  แม้แต่การตายยังทรงเป็นธุระเหมือนพ่อช่วยปลอบยามลูกมีทุกข์  นอกจากนี้ยังทรงเป็นธุระในการอบรมราชวงศ์  ข้าราชกาและประชาชนให้มีความู้ในการบ้านเมือง  และให้ดำรงตนอยู่ในศีลธรรมอันดี
        ๒.การปกครองแบบกระจายอำนาจแบ่งการปกครองออกเป็น  3 ระดับ คือ ระดับศูนย์กลาง  ระดับปฏิบัติตามนโยบาย  และระดับส่งเครื่องราชบรรณาการ 
                         กรุงสุโขทัย  เป็นศูนย์กลางการบริหารการปกครอง ให้มีลูกหลวงเป็นเมืองรองจากเมืองหลวง  และเป็นเมืองชั้นในตั้งอยู่สี่ทิศ มีความสำคัญทงยุทธศาสตร์ มีความใกล้ชิดกัเมืองหลวงมากที่สุด  เมืองหลวงกำหนดนโยบายในการบริหารและกำกับ
                        เมืองลูกหลวง หมายถึง  เมืองชั้นในที่รับนโยบายจากเมืองหลวงไปปฏิบัติ  อำนาจเป็นอำนาจของผู้ครองเมือง  บทบทหน้าที่สำคัญคือ  การป้องกันการรุกรานจากภายนอก  จึงได้กำหนอกเมืองในลักษณะนี้ไว้ทั้งสี่ทิศ  ผู้ที่จะมาครองเมืองลูกหลวงจะเป็นผู้ที่พระมหากษัตริย์ไว้วางพระทัยมากที่สุด  ทิศเหนือ คือ เมืองศรีสัชนาลัย  ทิศตะวันออก  คือ เมืองสองแคว(พิษณุโลก)  ทิศใต้ คือ มืองพระบาง(นครสวรรค์)  ทิศตะวันตก  คือ เมืองชากังราว (กำแพงเพชร)
                       เมืองพระยามหานคร  เป็นเมืองเล็กเมืองน้อยซึ่งมีเชื้อสายราชวงศ์เดิมของเมืองนั้น ๆ เป็นเจ้าเมือง มีบรรดาศักดิ์เป็น "ขุน"   มีอำนาจในการปกครองตนเอง แต่ยังอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของสุโขทัย
                      ศิลาจารึกหลักที่ ๓ ได้จารึกไว้ว่า มีเมืองพระยามหานครได้แก่  เมืองคณฑี  เมืองเชียงทอง  เมืองพระบาง เมืองพาน  เมืองบางฉลัง เป็นต้น 
                     เมืองประเทศราช  บางครั้งเรียกว่า "เมืองออก" หรือ  "เมืองขึ้น"  ได้แก่ เมืองหรือแคว้นต่างๆ เข้ามาสวามิภักดิ์เองบ้าง  หรือเมืองที่ยกทัพไปสู้รบจนยึดครองไว้ได้  เมืองเหล่านั้นอยู่ห่างไกลกับสุโขทัยยากแก่การปกครอง  จึงมีการมอบอำนาจทั้งหมดให้แก่เจ้าเมืองหรือผู้นำแคว้น  เพียงแต่ส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวายเป็นประจำปี  เมืองประเทศราชได้แก่  เมืองในภาคกลาง  ตลอดไปจนถึงแหลมมลายูทั้งหมด และทางภาคเหนือ เช่น แพร่ น่าน พลั่ว เป็นต้น
        ลักษณะการปกครองของพ่อขุนรามคำแหงมหาราชมีลักษณะคล้ายการปกครองแบบประชาธิปไตยอย่างไร ?
                ในสมัยของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช  การปกครองคล้ายระบอบประชาธิปไตย  ไม่ถึงกับเป็นรูปแบบ  เป็นแต่เพียงประชาชนมีสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลเท่านั้น  เช่น  มีสิทธิเสรีภาพในการประกอบอาชีพ  ทรัพย์สินบ้านเรือน  การเดินทางไปต่างถิ่น  การแสวงหาความยุติธรรม  ดั่งปรากฏอยู่ในหลักศิลาจารึกที่ ๑ ว่า "...เมืองสุโขทัยนี้ดี...เพื่อนจูงวัวไปค้า  ขี่ม้าไปขาย  ใครจักใคร่ค้าช้างค้า  ใครจักใคร่ค้าม้าค้าใครจักใคร่ค่าเงือนค้าทองคำ..."
         กฎหมายในสมัยสุโขทัยมีสาระสำคัญอย่างไร ?
         กฏหมายพื้นฐาน  ของกรุงสุโขทัยมีอยู่  ๒  เรื่อง  คือ  กฏหมายเกี่ยวกับมรดก  และกฏหมายเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน  ซึ่งปรากฏอยู่บนศิลาจารึกเขากบ  ของพ่อขุนรามำแหง พ.ศ.๑๘๓๕  มีสาระถอดความดังนี้    
        กฎหมายเกี่ยวกับมรดก  ได้กล่าวว่า "ทรัพย์สมบัติทุกชนิดของบิดานั้น  เมื่อยิดาเสียชีวิตลงแล้วจะต้องตกเป็นของบุตรทั้งสิน" ดังข้อความในจารึกว่า 
        "ลุกเจ้าลูกขุนผู้ใดเล้  ล้มตายหายกว่า  เย้าเรือนพ่อ  เชื้อเสื้อคำมัน  ช้างของลูกเมียเยียข้าว  ไพร่ฟ้าค่าไท  ปลามาปลากู พ่อเชื้อมัน  ไว้แก่ลูกมันสิ้น"
         กฎหมายยเกี่ยวกับสิทธิที่ดิน  ได้กล่าวว่า  "หากมีความขันแข็งที่จะขยายที่ดินเพื่อการเลี้ยงชีพต่อไป  ก็ให้ที่ดินตกเป็นของผู้นั้น"  นับว่าเป็นนโยบายส่งเสริมให้กับประชาชนขยายพื้นที่เพื่อเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรกรรม และเป็นประโยชน์เชิงเศรษฐกิจด้วย  ดังข้อความในศิลาจารึกดังนี้
          "สร้างป่ามา ป่าพลู ทั่วมืองทุกแห่ง  ป่าพร้าวก็หลายในเมืองนี้ ป่าสางก็หลายในเมืองนี้ หมากม่วงก็หลายในเมืองนี้  หมากขามก็หลายในเมืองนี้ ใครสร้างได้ไว้แก่มัน"         
        การพัฒนาบ้านเมือง  พ่อขุนรามคำแหงทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่มีพระปรีชาสามารถมาก  พระองค์ได้ทรงพัฒนาบ้านเมืองให้มีความเจริญรุ่งเรืองในทุกด้าน ดังนี้
       .การปกครองในรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราชได้ปรับปรุงรูปแบบในลักษณะต่างๆหลายลักษณะ
       .นโยบายทางการเมืองระหว่างอาณาจักรและต่างประเทศ  มุ่งเน้นความมั่นคง
       .เศรษฐกิจ  ส่งเสริมให้มีการค้าขายอย่างเสรีในเมืองสุโขทัยเอง  และอาณาจักรอื่นๆ
        .ด้านสังคม  ส่งเสริมให้ประชาชนอยู่ดีกินดีมีความสุขบนพื้นฐานคำสอนศาสนา
        .ด้านความเชื่อ  ทุกคนมีเสรีภาพในการนับถือศาสนา
        .ศิลปวัฒนธรรม  สุโขทัยมีศิลปวัฒนธรรม หลายอย่างสืบทอดกันจนมาถึงปัจจุบัน  และเป็นที่ยอมรับของสังคมไทยในปัจจุบัน
         พ่อขุนรามคำแหงมหาราช  ทรงมีสายพระเนตรอันยาวไกลในการรวมชาติไทยให้มั่นคง  โยการสร้างสิ่งยึดเหนี่ยวไว้ร่วมกัน  ซึ่งต้องเป็นสัญลักษณ์หรือเอกลักษณ์ที่มีความหมายประจำชาติ  ด้วยเหตุผลดั่งกล่าวพระองค์จึงทรงประดิษฐ์อักษรไทยขึ้น  ในปี พ.ศ. ๑๘๒๖  โดยดัดแปลงจากอักษรขอม และ มอญ  ซึ่งลอกมาจากอักษรคฤษธ์  ของอินเดียวอีกครั้งหนึ่ง  และโปรดให้จารึกข้อความด้วยตัวอักษรที่คิดขึ้นใหม่ไว้ในหลักศิลา


        

         ราษฎรในสมัยสุโขทัยมีบทบาทและหน้าที่  
         ราษฎรในสมัยสุโขทัย  ส่วนใหญ่เป็นชนชั้นสามัญหรือไพร่นั้นเอง  อยู่ภายใต้การปกครองเจ้าขุนมูลนาย  ดังนั้นคนเหล่านี้ต้องมีสังกัดขึ้นกับเจ้าขุนมูลนายคนใดคนหนึ่ง  และจะได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย
         หน้าที่สำคัญของชายฉกรรจ์ในสมัยสุโขทัย  คือการรับราชการแผ่นดินของพระมหากษัตริย์  โดยเมื่อมีความสูงเสมอไหล่สองศอกครึ่งจะถูกมูลนายเอาชื่อขึ้นบัญชีเพื่อเกณฑ์ทหารหรือใช้ในราชการอื่นๆ  เช่น  แรงงานเกษตรกรรม  สร้างเขื่อนเก็บกักน้ำ  ก่อสร้างอาคารอื่นๆ  หรือถาวรวัตถุอื่นๆ  ทำหน้าที่เป็นทหารป้องกันประเทศหรือขยายอาณาเขตของประเทศให้กว้างขวางยิ่งขึ้น  แต่คนเหล่านี้จะไม่ได้รับเงินเดือนหรือเบี้ยหวัด  บำนาญใดๆ  จะต้องทำงานหาเลี้ยงชีพด้วยตนเอง  มีเพียงได้รับสิทธิการคุ้มครองตามกฎหมายเท่านั้น
        อาณาเขตรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราชปรากฏตามศิลาจารึกว่า 
ด้านทิศตะวันออก
ถึงเมืองสรลวงสองแคว (พิษณุโลก) ลุมบาจาย สคาเท้าฝั่งโขง ถึงเมืองเวียงจันทน์ เวียงคำ
ด้านทิศใต้
ถึงเมืองคนที (บ้านโคน อยู่ทางฝั่งวันออกของแม่น้ำปิง อำเภอเมือง จังหวัดกำแพงเพชร) เมืองพระบาง (นครสวรรค์) เมืองแพรก (เมืองสรรค์บุรี จังหวัดชัยนาท) สุพรรณภูมิ (จังหวัดสุพรรณบุรี)ราชบุรี เพชรบุรี นครศรีธรรมราช
ด้านทิศตะวันตก
ถึงเมืองฉอด เมืองหงสาวดี และ
ด้านทิศเหนือ
ถึงเมืองแพร่ เมืองน่าน เมืองพลั่วพ้นไปถึงฝั่งโขงดินแดนสิบสองจุไทย
         จะเห็นได้ว่าอาณาเขตสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราชนั้น แท้ที่จริงคือพื้นที่ประเทศไทยในปัจจุบัน เว้นแต่ตอนเหนือและพื้นที่ส่วนใหญ่ทางซีกตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา



วันพุธที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ประวัติศาสตร์สมัยรัตนโกสินทร์(ตอนปลาย)

สมัยรัตนโกสินทร์ตอนปลาย [รัชกาลที่ 7 – 9]


การเมืองการปกครอง
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ประวัติศาสตร์สมัยรัตนโกสินทร์ตอนปลาย

1. สมัยรัชกาลที่ 7
1.1 สมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงตั้งที่ปรึกษาราชการแผ่นดินขึ้น 5 สภา คือ
1) อภิรัฐมนตรีสภา เป็นสภาที่ปรึกษาราชกากรแผ่นดิน ประกอบด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ ซึ่งทรงพระปรีชาสามารถและมีความชำนาญในงานราชการมาแต่ก่อน 5 พระองค์ ได้แก่ สมเด็จฯเจ้ากรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมาพระนครสวรรค์วรพินิต สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ สมเด็จฯ กรมพระยาดำราราชานุภาพ สมเด็จฯ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ
2) องคมนตรีสภา ช่วยทำหน้าที่บริหารประเทศ คล้ายกับรัฐสภาในปัจจุบัน สมาชิกประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิ มีความสามารถเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัย ทำหน้าที่เสนอความคิดเห็นในเรื่องราชการแผ่นดิน วินิจฉัยเรื่องต่างๆ ที่ทรงปรึกษา
3) เสนาบดีสภา ประกอบด้วยเสนาบดีประจำกระทรวง ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาหารือเกี่ยวกับราชการกระทรวงต่างๆ
4) สภาป้องกันพระราชอาณาจักร ทำหน้าที่ในการติดต่อประสารงานกับกระทรวงต่างๆ คือ กระทรวงกลาโหม ทหารเรือ ต่างประเทศ มหาดไทย และพาณิชย์ เพื่อป้องกันประเทศ
5) สภาการคลัง มีหน้าตรวจตรางบประมาณแผ่นดิน และรักษาผลประโยชน์การเงินของประเทศ
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ประวัติศาสตร์สมัยรัตนโกสินทร์ตอนปลาย

1.2 การจัดการปกครอง มีการจัดการปกครอง ดังนี้
1) การปกครองส่วนกลาง เนื่องจากในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ฐานะทางการเงินภายในประเทศตกต่ำอันเป็นผลมาจากเกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก รัชกาลที่ 7 จึงทรงแก้ปัญหานี้โดยใช้นโยบายดุลยภาพ คือ การตัดทอนรายจ่ายที่ไม่จำเป็น จัดงานและคนให้สมดุลกันแบะยุบตำแหน่งราชการที่ซ้ำซ้อนกัน ในการบริหารราชการส่วนกลาง เดิมสมัยรัชกาลที่ 6 มีกระทรวง 12 กระทรวง (โดยเพิ่ม 2 กระทรวง จาก 10 กระทรวงในสมัยรัชกาลที่ 5 คือ กระทรวงทหารเรือ และกระทรวงพาณิชย์) คือ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม กระทรวงทหารเรือ กระทรวงต่างประเทศ กระทรวงวัง กระทรวงเมือง(นครบาล) กระทรวงเกษตราธิการ กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ กระทรวงยุติธรรม กระทรวงธรรมการ กระทรวงโยธาธิการ กระทรวงพาณิชย์
รัชกาลที่ 7 โปรดเกล้าฯ ให้มีการแก้ไขปรับปรุงโดยยุบกระทรวงทหารเรือไปรวมกับกระทรวงกลาโหม และรวมกระทรวงโยธาธิการกับกระทรวงพาณิชย์เข้าด้วยกัน จึงเหลือเพียง 10 กระทรวง
2) การปกครองส่วนภูมิภาค ด้วยเหตุผลทางด้านเศรษฐกิจเช่นเดียวกับการปกครองส่วนกลาง รัชกาลที่ 7 ทรงใช้นโยบายดุลยภาพโดยยุบเลิกตำแหน่งปลัดมณฑล ตำแหน่งอุปราชประจำภาค ยุบเลิกมณฑลบางมณฑล บางจังหวัดให้ลดฐานะเป็นอำเภอตามความเหมาะสมของแต่ละท้องถิ่น เช่น ยุบจังหวัดพระประแดง หลังสวน มีนบุรี สายบุรี ธัญบุรี ตะกั่วป่า หล่มสัก และรวมสุโขทัยเข้ากับสวรรคโลก
ในสมัยรัชกาลที่ 7 ได้ทรงเริ่มทดลองการปกครองแบบเทศบาล เพื่อให้ราษฎรได้เรียนรู้การปกครองตนเอง ทรงตราพระราชบัญญัติการจัดบำรุงสถานที่ชายทะเลทิศตะวันตก เมื่อ พ.ศ.2469 โดยจัดตั้งสภาจัดบำรุงสถานที่ชายทะเลตะวันตก มีอาณาเขตตั้งแต่ตำบลชะอำไปถึงหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ การปกครองแบบเทศบาลนี้มีผลดี คือ เป็นการฝึกหัดให้ประชาชนเกิดความชำนาญในการปกครองตนเอง อันเป็นการปูพื้นฐานไปสู่การปกครองระบอบประชาธิปไตยในอนาคต
1.3 การเตรียมพระราชทานรัฐธรรมนูญ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริที่จะให้ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย ดังจะเห็นได้จากการพระราชทานสัมภาษณ์แก่นักหนังสือพิมพ์ใน พ.ศ.2474 เมื่อคราวเสด็จพระราชดำเนินไปประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อพระองค์เสด็จนิวัติพระนคร ก็ทรงมอบหมายให้พระยาศรีวิศาลวาจา และนายเรมอนด์ สตีเวนส์ ที่ปรึกษากระทรวงการต่างประเทศพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ แต่ที่ประชุมอภิรัฐมนตรีสภาและพระบรมวงศานุวงศ์บางพระองค์ได้กราบทูลคัดค้านว่า ยังไม่ถึงเวลาอันควรที่จะพระราชทานรัฐธรรมนูญ เพราะราษฎรยังไม่มีความเข้าใจระบอบประชาธิปไตยดีพอ รัชกาลที่ 7 จึงทรงต้องเลื่อนการพระราชทานรัฐธรรมนูญออกไป จนกระทั่งเกิดการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตยในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475
1.4 การเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย
สาเหตุของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
1) คนรุ่นใหม่ที่ได้รับการศึกษาจากประเทศตะวันตก ได้รับอิทธิพลของลัทธิเสรีนิยม และแบบแผนประชาธิปไตยของตะวันตก จึงต้องการนำมาปรับปรุงประเทศชาติ
2) เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ รัฐบาลไม่สามารถแก้ไขได้
3) ประเทศญี่ปุ่นและจีนได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้ว ทำให้ประชาชนต้องการเห็นการปกครองระบอบประชาธิปไตยภายในบ้านเมืองเร็วขึ้น
4) เกิดความขัดแย้งระหว่างพระราชวงศ์กับกลุ่มที่จะทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองซึ่งไม่พอใจที่พระราชวงศ์ชั้นสูงมีอำนาจและดำรงตำแหน่งเหนือกว่าทั้งในราชการฝ่ายทหารและพลเรือน ทำให้กลุ่มผู้จะทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองไม่มีโอกาสมีส่วนร่วมในการแก้ไขปรับปรุงบ้านเมือง
5) พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ไม่อาจทรงใช้อำนาจสิทธิ์ขาดในการปกครอง ทำให้ผู้ที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองรู้สึกว่าพระองค์ตกอยู่ใต้อำนาจอิทธิพลขอพระราชวงศ์ชั้นสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพระบรมวงศานุวงศ์ได้ยับยั้งพระราชดำริที่จะพระราชทานรัฐธรรมนูญ ก็ทำให้เกิดความไม่พอใจพระบรมวงศานุวงศ์และการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เพิ่มขึ้น
1.5 คณะราษฎรผู้เปลี่ยนแปลงการปกครอง “คณะราษฎร” เป็นชื่อที่คณะผู้ก่อการปฏิวัติเรียกตนเอง ประกอบด้วย
1) ฝ่ายทหาร มีบุคคลสำคัญ คือ พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) เป็นหัวห้าคณะปฏิวัติซึ่งรับผิดชอบในด้านการวางแผน อำนายการและดำเนินการใช้กำลังเข้ายึดอำนาจการปกครอง พ.อ.พระยาทรงสุรเดช (เทพ พันธุเสน) พ.อ.พระยาฤทธิอัคเนย์ (สละ เอมะศิริ) พ.ท.พระประศาสน์พิทยายุทธ(วัน ชูถิ่น) พ.ต.หลวงพิบูลยสงคราม (แปลก ขีตะสังคะ) ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการรวมพรรคพวก น.ต.หลวงสินุสงครามชัย (สินธุ์ กมลนาวิน) น.ต.หลวงศุภชลาศัย (บุง ศุภชลาศัย)
2) ฝ่ายพลเรือน มีบุคคลสำคัญ คือ อำมาตย์ตรี หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (นายปรีดี พนมยงค์) เป็นมันสมอง ของคณะราษฎร ซึ่งหน้าที่จัดร่างรัฐธรรมนูญและกำหนดลักษณะการบริหารต่างๆ ภายหลังการปฏิวัติ รองอำมาตย์เอก ประยูร ภมรมนตรี รองอำมาตย์เอก หลวงโกวิทอภัยวงศ์ (ควง อภัยวงศ์)
1.6 นโยบายของคณะราษฎร ได้แก่ หลัก 6 ประการ ซึ่งประกอบด้วย
1) จะต้องรักษาความเป็นเอกราชทั้งหลาย เช่น เอกราชในทางการเมือง ในทางการศาล ในทางเศรษฐกิจ ฯลฯ ของประเทศไว้ให้มั่นคง
2) จะต้องรักษาความปลอดภัยในประเทศให้การประทุษร้ายต่อกันลดน้อยลงให้มากและสร้างความสามัคคี
3) จะต้องบำรุงความสุขสมบูรณ์ของราษฎรให้ทางเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลใหม่จะหางานให้ราษฎรทุกคนทำ จะวางโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ ไม่ปล่อยให้ราษฎรอดยาก
4) จะต้องให้ราษฎรมีสิทธิเสมอภาคกัน หมายถึง สิทธิเสมอกันทางกฎหมาย จึงได้มีการยกเลิกบรรดาศักดิ์แต่นั้นมา
5) จะต้องให้ราษฎรได้มีเสรีภาพ มีความเป็นอิสระ เมื่อเสรีภาพนี้ไม่ขัดต่อหลัก 4 ประการดังกล่าวข้างต้น
6) จะต้องให้การศึกษาอย่างเต็มที่แก่ราษฎร เพราะการปกครองระบอบประชาธิปไตยจะดำเนินไปอย่างราบรื่นก็ต่อเมื่อราษฎรได้รับการศึกษาในระดับดี
1.7 การพระราชทานรัฐธรรมนูญ ขณะที่คณะราษฎรได้ทำการปฏิบัติ เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 นั้น พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงประทับอยู่ที่พระราชวังไกลกังวล อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ คณะราษฎรได้ทำหนังสือไปกราบบังคมทูลเชิญพระองค์เสด็จกลับกรุงเทพมหานคร เป็นพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ พระองค์ทรงยอมรับข้อเสนอของคณะราษฎร เพราะทรงเห็นแก่ความสงบสุขของประชาราษฎร์ ไม่ต้องการเสียเลือดเนื้อกัน ถ้าเกิดจลาจลจะทำให้บ้านเมืองเสียหาย
นอกจากนี้นพระองค์ก็ทรงมีพระราชดำริที่จะพระราชทานรัฐธรรมนูญให้แก่ราษฎรอยู่แล้ว ซึ่งเป็นผลทำให้การเปลี่ยนแปลงการปกครองประสบผลสำเร็จ โดยไม่มีการใช้กำลังรุนแรงแต่อย่างใด พระองค์เสด็จกรุงเทพมหานคร ในวันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2475 คณะราษฎรได้นำพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว ซึ่งอำมาตย์ หลวงประดิษฐ์มนูธรรม และคณะราษฎรบางคนได้ร่างขึ้น ทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อให้พระองค์ลงพระปรมาภิไธย พระองค์จึงได้พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราวในวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ.2475 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกของไทย
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ประวัติศาสตร์สมัยรัตนโกสินทร์ตอนปลาย
 1.8 รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว  สาระสำคัญของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ.2475  มีดังต่อไปนี้
1) พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของประเทศ เป็นประธานของฝ่ายบริหาร ทรงมีพระราชอำนาจตามขอบเขตแห่งกฎหมาย
2) อำนาจอธิปไตย แบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ นิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ ซึ่งเดิมอยู่ภายใต้อำนาจของพระมหากษัตริย์ทั้งหมด โดยกระจายอำนาจไปยังสภาผู้แทนราษฎร คณะรัฐบาลและศาล
3) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในระยะเริ่มแรก สมัยที่ 1 คณะราษฎรเป็นผู้จัดตั้งผู้แทนราษฎรชั่วคราวจำนวน 70 คน เป็นสมาชิกของสภา เมื่อถึงสมัยที่ 2 ภายใน 6 เดือน หรือเมื่อประเทศเป็นปกติเรียบร้อยให้มีสมาชิก 2 ประเภทคือ
ประเภทที่ 1 ราษฎรเลือกตั้งจังหวัด 1 คนเป็นอย่างน้อย ถือเกณฑ์ผู้แทนราษฎร 1 คน ต่อราษฎร 100,000 คน
ประเภทที่ 2 ได้แก่ ผู้เป็นสมาชิกในสมัยที่ 1 และผู้ได้รับเลือกเพิ่มเติม สมัยที่ 3 เมื่อราษฎรสอบไล่ได้ประถมศึกษาเกิดครึ่ง หรืออย่างช้าไม่เกิน 10 ปี สมาชิกประเภทที่ 2 เป็นอันยุติไม่มีอีกต่อไป
1.9 เหตุการณ์หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ที่สำคัญคือ
1) คณะราษฎรดำเนินการตามนโยบายที่กำหนดไว้ แต่ไม่บรรลุผลสำเร็จเท่าที่ควร ทั้งนี้เนื่องจากสาเหตุต่างๆ ดังนี้ คือ
– คณะราษฎรเกิดความขัดแย้ง แย่งชิงอำนาจกันเอง ทำให้เกิดการปฏิวัติรัฐประหาร รวมทั้งกบฏค่อยครั้ง
– คณะราษฎรเกิดความคิดเห็นแตกแยกกันในเรื่องโครงการพัฒนาเศรษฐกิจที่หลวงประดิษฐ์มนูธรรมเสนอขึ้นมา พระยามโนปกรณ์นิติธาดา ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรก ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองได้โจมตีว่าโครงการดังกล่าวดำเนินตามหลักการของลัทธิคอมมิวนิสต์และปฏิเสธที่จะนำมาปฏิบัติ
– ผู้แทนราษฎรมิได้มีบทบาทในฐานะเป็นตัวแทนของฝ่ายนิติบัญญัติที่เข้มแข็ง หากแต่เป็นเพียงส่วนประกอบของรัฐสภาให้ครบรูปตามระบอบประชาธิปไตยเท่านั้น ทั้งนี้เพราะฝ่ายรัฐบาลไม่เห็นความสำคัญของสถาบันนิติบัญญัติ
– ประชาชนได้รับการศึกษาน้อย ยังไม่เข้าใจรูปแบบการปกครองระบอบประชาธิปไตย และการเข้ามามีส่วนร่วมในทางการเมืองการปกครอง
ภายหลังจากที่ได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวแล้ว รัฐบาลคณะราษฎรก็ทำการร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวร และในวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับถาวร ความสำคัญของรัฐธรรมนูญ มีดังต่อไปนี้

1. พระมหากษัตริย์ดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้
2. อำนาจอธิปไตยมาจากปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นพระประมุข ทรงใช้อำนาจนี้แต่โดยบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ อำนาจอธิปไตยแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ นิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ
3. พระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจนิติบัญญัติ โดยคำแนะนำและยินยอมของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งอยู่ในตำแหน่งคราวละ 4 ปี มีสมาชิก 2 ประเภท จำนวนเท่ากันเป็นระยะเวลา 20 ปี โดยมีสมาชิก ประเภทที่ 1 ได้แก่ สมาชิกราษฎรเลือกตั้งเข้ามา ประเภทที่ 2 ได้แก่ สมาชิกที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง
4. พระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจบริหารทางคณะรัฐมนตรี ประกอบด้วยนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีอย่างน้อย 14 นาย (จากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร) อย่างมาก 24 นาย (ส่วนที่เกินจากขั้นต่ำจากผู้ที่มีความรู้ความชำนาญพิเศษ แม้มิได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรก็ได้)
5. พระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจตุลาการทางศาล ซึ่งจัดตั้งตามกฎหมาย พิจารณาพิพากษาอรรถคดี
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ประวัติศาสตร์สมัยรัตนโกสินทร์ตอนปลาย
2) วิกฤตการณ์หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ในช่วงระยะเวลาไม่ถึง 1 ปีของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ได้เกิดความยุ่งยากทางการเมือง อันสืบเนื่องมาจากความคิดเห็นขัดแย้งในคณะรัฐบาลเกี่ยวกับเรื่องเค้าโครงการเศรษฐกิจของหลวงประดิษฐ์มนูธรรม พระยามโนปกรณ์นิติธาดา นายกรัฐมนตรีเห็นว่าเค้าโครงการเศรษฐกิจนี้ ดำเนินการตามหลักการของประเทศสังคมนิยม นอกจากนี้รัชกาลที่ 7 ยังได้มีพระบรมราชวินิจฉัยสอดคล้องกับพระยามโนปกรณ์นิติธาดา ในขณะเดียวกันพระยามโนปกรณ์นิติธาดาได้ออกคำสั่งห้ามข้าราชการและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเข้าเป็นสมาชิกสมาคมเกี่ยงข้องกับการเมือง ซึ่งเท่ากับจะเป็นการล้มคณะผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ต่อมาในวันที่ 1 เมษายน พ.ศ.2476 พระยามโนปกรณ์นิติธาดาได้ประกาศพระราชกฤษฎีกา ยุบสภาผู้แทนราษฎร งดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา และออกพระราชบัญญัติการกระทำเป็นคอมมิวนิสต์ ซึ่งเป็นผลให้หลวงประดิษฐ์มนูธรรมต้องเดินทางออกนอกประเทศเป็นการชั่วคราว ความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกับคณะราษฎรจึงปรากฏเด่นชัดขึ้น ในที่สุด พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา จึงก่อการรัฐประหาร ยึดอำนาจรัฐบาล เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ.2476 และขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี อำนาจของคณะราษฎรก็ได้คืนกลับมาอีกครั้งหนึ่ง พร้อมกันนั้นหลวงประดิษฐ์มนูธรรมได้เดินทางกลับประเทศเข้าร่วมกับรัฐบาลชุดใหม่
ความขัดแย้งระหว่างคณะราษฎรและกลุ่มผู้นิยมระบอบเก่า ทำให้พระองค์เจ้าบวรและพวกก่อการกบฏในเดือนตุลาคม พ.ศ.2476 เพื่อตั้งรัฐบาลใหม่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง แต่ถูกฝ่ายรัฐบาลปรามได้ การกบฏครั้งนี้มีผลกระทบกระเทือนต่อพระราชฐานะของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทั้งๆ ที่ทรงวางพระองค์เป็นกลาง เพราะคณะราษฎรเข้าใจว่าพระองค์ทรงสนับสนุนการกบฏ ความสัมพันธ์ระหว่างรัชกาลที่ 7 และคณะราษฎรจึงร้าวฉานยิ่งขึ้น ในต้น พ.ศ.2477 รัชกาลที่ 7 ได้เสด็จไปรักษาพระเนตรที่ประเทศอังกฤษ และทรงสละราชสมบัติเมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ.2477 ต่อจากนั้นคณะรัฐบาลและสภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติเห็นชอบกราบทูลเชิญพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าอานันทมหิดล พระโอรสในสมเด็จฯเจ้าฟ้ากรมหลวงสงขลานครินทร์ขึ้นครองราชย์สมบัติเป็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 8 จนกระทั่งสวรรคตเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 สมเด็จพระอนุชา คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ได้ขึ้นครองราชย์สมบัติเป็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 สืบมาจนถึงปัจจุบัน
2. รัฐธรรมนูญหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
2.1 การเปลี่ยนแปลงแก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2475 ระหว่างที่ใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับ พ.ศ. 2475 นั้น ได้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวหลายคราวที่ สำคัญได้แก่
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ประวัติศาสตร์สมัยรัตนโกสินทร์ตอนปลาย
1) เปลี่ยนชื่อประเทศสยาม เป็นชื่อประเทศไทย พ.ศ. 2482
2) แก้ไขบทเฉพาะกาลในรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2475 ยืดกำหนดเวลาบทเฉพาะกาลออกไป คือให้มีสมาชิกสภาประเภท 2 ต่อไปเป็นเวลา 20 ปี นับตั้งแต่วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475
2.2 การแก้ไขเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ การปกครองตามระบอบประชาธิปไตย หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 เป็นต้นมา ไม่ราบรื่นนัก มีการปฏิวัติรัฐประหารยึดอำนาจปกครองจากรัฐบาลหลังครั้ง ระบบการปกครองจึงก้าวหน้าได้อย่างเชื่องช้า มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ ดังนี้
1) พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยาม (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2475
2) รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ.2475
3) รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2489
4) รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2490
5) รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2492
6) รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2475 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2495
7) ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2502
8) รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2511
9) ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2515
10) รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2517
11) รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2519
12) ธรรมนูญการปกครองอาณาจักรไทย พ.ศ.2520
13) รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2521
14) ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2534
15) รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2534
16) รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540
2.3 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 มีสาระสำคัญดังนี้
รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน เรียกว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ประกาศใช้เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2540 มีสาระสำคัญที่ควรนำมากล่าวคือ
1. รูปแบบของรัฐ  กำหนดว่าประเทศไทยเป็นรัฐเดี่ยวไม่อาจแบ่งแยกเป็นหลายๆ รัฐได้
2. ระบอบการปกครอง   ประเทศไทยมีการปกครองแบบประชาธิปไตยโดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข   การปกครองแบบประชาธิปไตย หมายความว่า อำนาจอธิปไตย หรืออำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศมาจากปวงชนชาวไทย   พระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจอธิปไตย ดังนี้
1) อำนาจนิติบัญญัติ คือ อำนาจในการออกกฎหมาย พระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจนิติบัญญัติทางรัฐสภา กล่าวคือ การตรากฎหมายออกมาใช้บังคับกับประชาชนต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาก่อน
2) อำนาจบริหาร คือ อำนาจในการบริหารประเทศให้เป็นไปตามนโยบายและกฎหมายพระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจนี้ทางคณะมนตรี กล่าวคือ พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี 1 คน และรัฐมนตรีอีกไม่เกิน 35 คน ประกอบเป็นคณะรัฐมนตรี มีหน้าที่บริหารราชการแผ่นดิน
3) อำนาจตุลากร คือ อำนาจในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดี หรือติดสินข้อพิพากษาหรือตัดสินลงโทษผู้กระทำความผิด พระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้ใช้อำนาจนี้ทางศาล กล่าวคือ การพิจารณาพิพากษาอรรถคดีเป็นหน้าที่ของศาลอันประกอบด้วยผู้พิพากษา ซึ่งมีอิสระในการใช้ดุลพินิจในการตัดสินคดี และเป็นการดำเนินการในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์
3. รัฐสภา
รัฐสภาประกอบด้วยวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎร บางครั้งแยกกันประชุม แต่งบางครั้งประชุมร่วมกัน ประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นประธานรัฐสภา ประธานวุฒิสภาเป็นรองประธานรัฐสภา
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ประวัติศาสตร์สมัยรัตนโกสินทร์ตอนปลาย
สมาชิกวุฒิสภามีจำนวน 200 คน มาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชนโดยใช้จังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง โดยประชาชนทุกจังหวัดมีสิทธิเสมอกันในการออกเสียงเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาในแต่ละจังหวัดได้เพียงหนึ่งคน อยู่ในตำแหน่งคราวละ 6 ปี นับตั้งแต่วันเลือกตั้ง
สภาผู้แทนราษฎรประกอบด้วยสมาชิก 500 คน โดยเป็นสมาชิกซึ่งมาจากเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ(ปาร์ตี้ลิส) จำนวน 100 คน และสมาชิกมาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งจำนวน 400 คน โดยคำนวณจากจำนวนราษฎรทั้งประเทศตามหลักฐานการทะเบียนราษฎรที่ประกาศในปีสุดท้ายก่อนที่มีการเลือกตั้งเฉลี่ยด้วยจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 400 คน ซึ่งจะได้เป็นเกณฑ์จำนวนราษฎรต่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหนึ่งคน และจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของแต่ละจังหวัดให้นำจำนวนราษฎรที่คิดคำนวณข้างต้นมาเฉลี่ยจำนวนราษฎรในจังหวัดนั้น จังหวัดใดมีราษฎรไม่ถึงเกณฑ์จำนวนราษฎรต่อสมาชิกหนึ่งคนให้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้หนึ่งคน จังหวัดใดมีราษฎรเกินเกณฑ์จำนวนราษฎรต่อสมาชิกผู้แทนราษฎรเพิ่มอีกคนทุกจำนวนราษฎรที่ถึงเกณฑ์จำนวนราษฎรต่อสมาชิกราษฎรหนึ่งคน
เมื่อได้จำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครบทุกจังหวัดแล้ว แต่ยังไม่ถึง 400 คน จังหวัดใดที่มีเศษที่เหลือจากการคำนวณมากที่สุด ให้จังหวัดนั้นมีสมาชิกผู้แทนราษฎรเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคนและให้เพิ่มสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามวิธีดังกล่าว แก่จังหวัดที่มีเศษที่เหลือจากการคำนวณในลำดับรองลงมาตามลำดับจนครบจำนวน 400 คน
3.1 คุณสมบัติของผู้มีสิทธิเลือกตั้งวุฒิสมาชิก และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
1) มีสัญชาติไทย แต่บุคคลผู้มีสัญชาติไทยโดยการแปลงสัญชาติต้องได้สัญชาติไทยมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี
2) มีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์ในวันที่ 1 มกราคม ของปีที่มีการเลือกตั้ง
3) มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในเขตเลือกตั้งมาแล้วเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 90 วันนับถึงวันเลือกตั้ง
3.2 บุคคลที่ไม่มีสิทธิเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
1) วิกลจริต หรือจิตฟั่นเฟือนในสมประกอบ
2) เป็นภิกษุ สามเณร นักพรต หรือนักบวช
3) อยู่ในระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง
3.3 คุณสมบัติของผู้มีสิทธิรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผูแทนราษฎร
1) มีสัญชาติไทยโดยการเกิด
2) มีอายุไม่ต่ำกว่า 25 ปีบริบูรณ์ในวันเลือกตั้ง
3) สำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า เว้นแต่เคยเป็นสมาชิกผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสมาชิก
4) เป็นสมาชิกพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งเพียงพรรคเดียวนับถึงวันสมัครรับเลือกตั้งเป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า 90 วัน
5) ผู้สมัครรับเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง แต้องมีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่ง
(1) มีชื่อยู่ในทะเบียนบ้านในจังหวัดที่สมัครรับเลือกตั้งมาแล้วเป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า 1 ปี นับถึงวันสมัครรับเลือกตั้ง
(2) เคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดที่สมัครรับเลือกตั้งหรือเคยเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นในจังหวัดนั้น
(3) เป็นบุคคลซึ่งเกิดในจังหวัดที่สมัครรับเลือกตั้ง
(4) เคยศึกษาในสถานศึกษาที่ตั้งอยู่ในจังหวัดที่สมัครรับเลือกตั้งเป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า 2 ปีการศึกษา
(5) เคยรับราชการหรือเคยมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในจังหวัดที่สมัครรับเลือกตั้งเป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า 2 ปี
3.4 คุณสมบัติของผู้มีสิทธิรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา
1) มีสัญชาติไทย
2) มีอายุไม่ต่ำกว่า 40 ปีบริบูรณ์ในวันเลือกตั้ง
3) สำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า
4) ผู้สมัครเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งต้องมีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่ง  ดังต่อไปนี้
(1) มีชื่อยู่ในทะเบียนบ้านในจังหวัดที่สมัครรับเลือกตั้งมาแล้วเป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า 1 ปี นับถึงวันสมัครรับเลือกตั้ง
(2) เคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดที่สมัครรับเลือกตั้งหรือเคยเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นในจังหวัดนั้น
(3) เป็นบุคคลซึ่งเกิดในจังหวัดที่สมัครรับเลือกตั้ง
(4) เคยศึกษาในสถานศึกษาที่ตั้งอยู่ในจังหวัดที่สมัครรับเลือกตั้งเป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า 2 ปีการศึกษา
(5) เคยรับราชการหรือเคยมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในจังหวัดที่สมัครรับเลือกตั้งเป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า 2 ปี
3.5 บุคคลผู้ที่ไม่มีสิทธิรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
1) ติดยาเสพติดให้โทษ
2) เป็นบุคคลล้มละลายซึ่งศาลยังไม่สั่งให้พ้นคดี
3) ต้องคำพิพากษาให้จำคุกตั้งแต่ 2 ปีขึ้นไป โดยพ้นโทษมายังไม่ถึง 5 ปีในวันเลือกตั้ง เว้นแต่ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาท
4) เคยถูกไล่ออก ปลดออก หรือให้พ้นจากราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจเพราะทุจริตต่อหน้าที่ หรือถือว่ากระทำการทุจริตหรือประพฤติมิชอบในวงราชการ
5) เคยต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน เพราะร่ำรวยผิดปกติ
6) เป็นข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งเงินเดือนประจำ นอกจากข้าราชาการเมือง
7) เป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น
8) เป็นสมาชิกวุฒิสภา
9) เป็นพนักงานหรือลูกจ้างของหน่วยงานรัฐ รัฐวิสาหกิจ ราชการส่วนท้องถิ่น หรือเป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ
10) เป็นกรรมการการเลือกตั้ง ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการศาลปกคอรง กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจรติแห่งชาติ หรือกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน
11) อยู่ในระหว่างต้องห้ามมิให้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
12) เคยถูกวุฒิสภามีมติให้ถอดถอนออกจากตำแหน่ง และยังไม่พ้นกำหนด 5 ปีนับตั้งแต่วันที่วุฒิสภามีมติจนถึงวันเลือกตั้ง
3.6 บุคคลที่ไม่มีสิทธิรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา
1) เป็นสมาชิกหรือผู้ดำรงตำแหน่งอื่นของพรรคการเมือง
2) เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือเคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและพ้นจากการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมาแล้ว ยังไม่เกิน 1 ปี นับถึงวันสมัครับเลือกตั้ง
3) เคยเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ในอายุของวุฒิสภาคราวก่อนการสมัครรับเลือกตั้ง
4) เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง
ระบบกฎหมายและการศาล
กฎหมาย สมัยรัชกาลที่ 7 ได้มีการร่างกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ประกาศใช้ พ.ศ.2478 การปฏิรูปกฎหมายได้ดำเนินการมาเรื่อยๆ จนกระทั่งเป็นที่ยอมรับของต่างชาติ ใน พ.ศ.2481 ไทยสามารถยกเลิกสิทธิสภาพนอกอาณาเขตได้อย่างเด็ดขาดและได้เอกสิทธิ์ทางการศาลอย่างสมบูรณ์ซึ่งตรงกับสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล
การศาล ใน พ.ศ.2478 สมัยรัชกาลที่ 7 ได้มีการประกาศใช้พระธรรมนูญศาลยุติธรรม แบ่งศาลออกเป็น 3 ชั้น คือ
1. ศาลชั้นต้น มีศาลแพ่ง ศาลอาญา ศาลจังหวัด ศาลแขวง ศาลคดีและเยาวชน
2. ศาลอุทธรณ์ พิจารณาคดีที่อุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งมาจากศาลชั้นต้น
3. ศาลฎีกา พิจารณาคดีที่ฎีกาคำพิพากษาหรือคำสั่งมาจากศาลอุทธรณ์ ในชั้นนี้คำพิพากษาหรือคำสั่งถือเป็นที่สุด
เศรษฐกิจ
ในการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย คณะราษฎรกำหนดให้การปรับปรุงเศรษฐกิจเป็น 1 ในหลัก 6 ประการ ที่จะบริหารบ้านเมืองต่อไป และได้มอบให้หลวงประดิษฐ์มนูธรรมเป็นผู้รางเค้าโครงการเศรษฐกิจของประเทศเสนอต่อรัฐบาล
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ประวัติศาสตร์สมัยรัตนโกสินทร์ตอนปลาย
ใจความสำคัญของเค้าโครงการเศรษฐกิจ คือ รัฐบาลจะบังคับซื้อที่ดินทางกสิกรรมมาเป็นของรัฐทั้งหมด โดยจ่ายเงินเป็นพันธบัตรรัฐบาลแก่เจ้าของ รัฐจะจัดการเศรษฐกิจทั้งหมดในรูปของระบบ สหกรณ์ บุคคลที่มีอายุระหว่าง 18-55 ปี จะเป็นข้าราชการทำงานให้กับรัฐตามความสามารถและคุณวุฒิของตน โดยได้รับเงินเดือนจากรัฐบาล หรือสหกรณ์ตามแต่จะกำหนดไว้
สรุปแล้ว เค้าโครงการเศรษฐกิจฉบับนี้ เน้นให้ราษฎรใช้แรงงานเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่บ้านเมือง มีการดึงปัจจัยการผลิต 3 ประการ ที่ดิน ทุน และแรงงาน มาใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ แต่เค้าโครงเศรษฐกิจดังกล่าวที่เรียกว่า “สมุดปกเหลือง” ได้รับการวิพากวิจารณ์ว่ามีแนวโน้มเป็นสังคมนิยม แม้แต่รัชกาลที่ 7 ก็ไม่ทรงเห็นชอบด้วย ในที่สุดรัฐบาลไทยสมัยนั้นก็มิได้นำเค้าโครงเศรษฐกิจฉบับดังกล่าวมาใช้
ในสมัยที่จอมพลแปลก พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี ได้มีนโยบายสร้างชาติในทางเศรษฐกิจ คือ กระตุ้นให้ประชาชนช่วยตัวเองในทางเศรษฐกิจ เช่น ทำสวนครัว เลี้ยงสัตว์ ทำอุตสาหกรรมในครัวเรือน สนับสนุนให้ประชาชนใช้สินค้าที่ผลิตในประเทศ ส่งเสริมให้คนไทยหันมาค้าขาย ใน พ.ศ.2485 ได้ออกพระราชบัญญัติสงวนอาชีพบางอย่างไว้สำหรับคนไทย และต่อมาในปีเดียวกันได้จัดตั้งกระทรวงอุตสาหกรรมขึ้นเป็นครั้งแรก รวมทั้งออกพระราชบัญญัติคุ้มครองอุตสาหกรรมในประเทศอีกด้วย
การศึกษา วรรณกรรมศิลปกรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีไทย
1. การศึกษา ในต้นรัชกาลที่ 7 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นความสำคัญของการศึกษาของประชาชน โปรดเกล้าฯ ให้ยกเลิกการเก็บเงินศึกษาพลี โดยให้กระทรวงพระคลังมหาสมบัติจ่ายแทน เนื่องจากระยะนั้นเศรษฐกิจตกต่ำ ประชาชนจำนวนมากไม่อาจเสียเงินศึกษาพลีได้
ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย คณะราษฎรได้กำหนดให้การศึกษาเป็น 1 ในหลัก 6 ประการ ที่จะบริหารบ้านเมืองต่อไป โดยระบุความมุ่งหมายแห่งการศึกษาของชาติไว้ว่า ให้พลเมืองทุกคน ไม่เลือกเพศ ชาติ ศาสนา ได้รับการศึกษาพอเหมาะแก่อัตภาพของตน การศึกษาในระยะต่อมาจึงขยายไปสู่ประชาชนได้มากขึ้นในทุกระดับ เมื่อ พ.ศ.2475,2479 รัฐบาลเริ่มวางแผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2494,2503, 2520 ตามลำดับ
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ประวัติศาสตร์สมัยรัตนโกสินทร์ตอนปลาย
แผนการศึกษาแห่งชาติฉบับ พ.ศ.2494 มีสาระสำคัญ คือ เพื่อความสมบูรณ์ของการจัดการศึกษา ให้จัดการศึกษาเป็น 4 ส่วน ให้พอเหมาะกัน คือ จริยศึกษา พลศึกษา พุทธิศึกษา และหัตถศึกษา ทั้งนี้เพราะกรรมการร่างแผนพัฒนาการศึกษาแห่งชาติ มีความเห็นว่า หัตถศึกษามีความสำคัญและจำเป็นต่อการพัฒนาบ้านเมือง โดยได้รับแนวคิดหรือวิธีการจัดการศึกษาจากประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นสำคัญ ตามแผนการศึกษานี้ การศึกษาภาคบังคับมีเพียง 4 ปี และให้รัฐบาลถือว่าการศึกษามีความสำคัญเป็นอันดับแรกในกิจการของรัฐ
แผนการศึกษาแห่งชาติฉบับ พ.ศ.2503 ได้มีการเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษาของชาติไปจากเดิมมาก ระดับประถมศึกษาได้เพิ่มขึ้นจากเดิมเป็น 7 ชั้น แบ่งเป็นประโยคประถมศึกษาตอนต้น 4 ชั้น และตอนปลาย 3 ชั้น ระดับมัธยมศึกษาแบ่งเป็น 2 ตอน คือ ประโยคมัธยมศึกษาตอนต้น ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 สาย ได้แก่ สายสามัญ 3 ชั้น และสายอาชีพมี 1-3 ชั้น แผนการศึกษาฉบับนี้ไดเน้นถึงองค์แห่งการศึกษา คือ จริยศึกษา พลศึกษา พุทธิศึกษาและหัตถศึกษา ซึ่งจะเห็นได้ว่าเป็นการวางแผนเพื่อให้ผู้ได้รับการศึกษาจนสำเร็จในแต่ละประโยคนั้น สามารถปฏิบัติและดำรงชีวิตอยู่ได้พอสมควรแก่อัตภาพ
แผนการศึกษาแห่งชาติฉบับ พ.ศ.2520 มีสาระสำคัญดังนี้ คือ เน้นให้จัดการศึกษาเพื่อความเป็นพลเมืองดีมากที่สุด ส่วนความรู้ความสามารถต่างๆ ให้ความสำคัญรองลงมา การเรียนการสอนทั้งสามัญศึกษาและอาชีวศึกษา ได้รับการจัดให้ประสมประสานกันทุกระดับ โดยให้เรียนวิชาชีพที่เหมาะสมแก่วัยทุกชั้นเรียน การจัดการศึกษาประถมและมัธยมจัดเป็นระบบ 6:3:3 คือประถมศึกษา 6 ชั้น มัธยมศึกษา 6 ชั้น แบ่งเป็นมัธยมศึกษาตอนต้น 3 ชั้น และมัธยมศึกษาตอนปลาย 3 ชั้น
2.วรรณกรรมและศิลปกรรม
2.1 วรรณกรรม ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 เป็นมา กิจการพิมพ์และหนังสือพิมพ์เจริญขึ้นตามลำดับ เพราะมีผู้รู้หนังสือเพิ่มมากขึ้น หนังสือพิมพ์มีบทบาทสำคัญยิ่งในการเป็นสื่อสารกลางการติดต่อระหว่างรัฐบาลกับประชาชน หนังสือพิมพ์จึงเป็นสถาบันที่มีอิทธิพลสถาบันหนึ่งจนได้สมญาว่า “ฐานันดรที่สี่”
นวนิยายสมัยนี้เริ่มเปลี่ยนแนวจากการเลียนแบบโครงเรื่องและแนวคิดของตะวันตกมาเป็นนวนิยายที่มีลักษณะของตนเองมากขึ้น นักเขียนที่มีชื่อในระยะแรก ได้แก่ ศรีบูรพา ยาขอบ แม่อนงค์ ดอกไม้สด ฯลฯ ต่อมานักเขียนได้เริ่มหันมาสนใจปัญหาการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมมากขึ้น เช่น ศรีบูรพา สด กูรมะโรหิต ศรรีรัตน์ สถาปนวัฒน์ ฯลฯ ปัจจุบันนักเขียนส่วนใหญ่มิได้มุ่งสร้างงานที่มีรูปแบไพเราะงดงามแต่อย่างเดียว แต่ได้คำนึงถึงเนื้อหาที่มีคุณค่าแกชีวิตด้วย และนวนิยายร่วมสมัยของไทยบางเรื่องก็เคยได้รับรางวัลระหว่างชาติมาแล้ว เช่น จดหมายจากเมืองไทย ของโบตั๋น ได้รับรางวัลนวนิยายดีเด่นของ สปอ.ประจำปี พ.ศ. 2512 เรื่องคำพิพากษา ของชาติ กอบจิตติ ได้รับรางวัลซีไรท์ ประจำปี พ.ศ.2525
2.2 ศิลปกรรม ศิลปกรรมสมัยรัชกาลที่ 7 ถึงรัชกาลปัจจุบัน นอกจากจะมีลักษณะเป็นแบบศิลปะไทยแล้ว ยังได้ผสมผสานกับศิลปะตะวันตกอีกด้วย ซึ่งจะเห็นได้อย่างเด่นชัดในงานด้านสถาปัตยกรรม
1) ด้านสถาปัตยกรรม เป็นศิลปะไทยอย่างหยาบๆ นิยมสร้างตัวอาคารแบบตะวันตกแต่หลังคาทรงไทย เช่น หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วัดพระศรีมหาธาตุ (บางเขต) หอประชุมคุรุสภา โรงละครแห่งชาติ หอสมุดแห่งชาติ (ท่าสุกรี) ศาลาว่าการกระทรวง และศาลาว่าการจังหวัดต่างๆ เป็นต้น
ส่วนที่สร้างแบบตะวันตก เช่น อาคารถนนราชดำเนิน ที่ทำการไปรษณีย์กลาง กรีฑาสถานแห่งชาติ กระทรวงยุติธรรม เป็นต้น
2) ด้านประติมากรรม เช่น อนุสาวรีย์รัชกาลที่ 1 อนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช อนุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี อนุสาวรีย์ที่สร้างแบบสากลสมัยใหม่ เช่น อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ พระพุทธรูปต่างๆ เช่น พระพุทธปาวลีลา พระพุทธรูป ภ.ป.ร.
3) จิตรกรรม สมัยรัชกาลที่ 7 มีการประชุมช่างเขียนภาพรามเกียรติ์ ที่ระเบียงรอบพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ภาพเขียนพระราชพงศาวดารสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราชที่วัดสุวรรณดาราราม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
3. ขนบธรรมเนียมประเพณี หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองใน พ.ศ.2475 ได้มีการเปลี่ยนแปลงขนบธรรมเนียมบางอย่างให้สอดคล้องกับการปกครองระบอบใหม่ และให้เหมาะสมกับกาลเวลาได้แก่ การยกเลิกพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา เมื่อ พ.ศ.2475 ตราพระราชบัญญัติกำหนดเครื่องแบบการแต่งกายข้าราชการให้เป็นไปตามแบบสากล เมื่อ พ.ศ.2478 เปลี่ยนชื่อประเทศจากสยามมาเป็นไทย ตั้งแต่วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2482 และให้ใช้คำว่า “ไทย” แก่ประชาชนและสัญชาติด้วย เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่จากวันที่ 1 เมษายน มาเป็นวันที่ 1 มกราคม ตั้งแต่ พ.ศ.2484 เพื่อให้เป็นไปตามแบบสากลและในปีเดียวกันนี้จอมพลแปลก พิบูลสงคราม ได้ชักชวนให้บุคคลสำคัญๆ ถวายบังคับลาออกจากบรรดาศักดิ์จนกระทั่งได้มีพระบรมราชโองการยกเลิกบรรดาศักดิ์เป็นโมฆะใน พ.ศ.2488
สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายรัฐมนตรี พ.ศ.2501-2506 ได้มีการฟื้นฟูขนบธรรมเนียมประเพณีของชาติหลายอย่าง เช่น พระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา พ.ศ.2503 พระราชพิธีเสด็จพระราชดำเนินทอดผ้าพระกฐินโดยกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค พ.ศ.2504 พระราชพิธีพืชมงคล และพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญใน พ.ศ.2503
สมัยจอมถนอม กิตติขจร เป็นนายกรัฐมนตรี พ.ศ.2506-2516 ได้มีการฟื้นฟูพระราชพิธีรัชดาภิเษก พ.ศ.2514 พระราชพิธีสถาปนาสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พ.ศ.2515
การต่างประเทศ
การต่างประเทศสมัยรัตนโกสินทร์หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองที่สำคัญคือ
1. ประเทศไทยกับสงครามโลกครั้งที่ 2
สงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดขึ้นระหว่าง พ.ศ.2482-2488 ทำให้เกิดความเสียหายแก่มนุษยชาติอย่างมากมาย ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม สาเหตุของสงครามครั้งนี้ต่อเนื่องมาจากสาเหตุของสงครามโลกครั้งที่ 1 เนื่องจากสงครามโลกครั้งที่ 1 ไม่สามารถแก้ปัญหาที่เคยมีมาแต่เดิมให้หมดไปได้ และการทำงานของสันนิบาตชาติขาดประสิทธิภาพ ไม่สามารถแก้ไขความขัดแย้งการพิพากกันได้ สำหรับสงครามโลกครั้งที่ 2 นี้ ประเทศไทยเข้าไปมีบทบาทมากกว่าสงครามโลกครั้งที่ 1 ความเสียหายที่ไทยได้รับเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ แล้ว ประเทศไทยยังนับว่าน้อยมาก
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ประวัติศาสตร์สมัยรัตนโกสินทร์ตอนปลาย