สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น (รัชกาลที่ 1 – 3)
ขณะเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชขึ้นครองราชย์นั้น บ้านเมืองยังอยู่ในสภาพทรุดโทราเสียหายมาก หลังจากพระองค์ตัดสินพระทัยย้ายราชธานี มาตั้งใหม่ที่บางกอก ทางฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำเจ้าพระยาก็โปรดให้สร้างกำแพงเมืองและป้อมปราการแข็งแรงมั่นคงสำหรับป้องกันข้าศึก และทรงสร้างวัดพระศรีรัตนศาสนดารามขึ้นในบริเวณพระบรมมหาราชวังเป็นหลักพระนคร เพื่อให้เป็นมิ่งขวัญและกำลังใจแก่ประชาชนว่า ไทยเราได้ฟื้นฟูขึ้นแล้วเหมือนเมื่อครั้นสมัยบ้างเมืองดี ทรงฟื้นฟูประเทศทุกด้านทุกสาขา โดยเฉพาะทางด้านศาสนาโปรดให้ทำการสังคายนาสอบสวนพระโตรปิฏกให้ถูกต้องสมบูรณ์เช่นเดียวกับกฎหมายก็โปรดให้ชำระเรียบร้อยใหม่ให้ถูกต้องดังเดิม เพราะทั้งสองอย่างนี้ถูกพม่าเผาทำลายไปเสียมาก ส่วนการรักษาเอกราชและความมั่นคงของประเทศนั้น ได้ทรงทำศึกสงครามกับประเทศเพื่อนบ้านที่มุ่งรุกรานไทย และได้เจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศมหาอำนาจตะวันตกที่เริ่มจะเข้าติดต่อกับไทยด้วย
การฟื้นฟุชาติบ้านเมืองในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น จึงเป็นการฟื้นฟูในทุกด้าน พอสรุปเป็นหัวข้อได้ ดังนี้
1.การดำเนินการด้านการเมือง2.การดำเนินการด้านการปกครอง
3.การฟื้นฟูและวางรากฐานด้านเศรษฐกิจ
4.การฟื้นฟูและพัฒนาด้านสังคมวัฒนธรรม
1. การดำเนินการด้านการเมือง
การดำเนินการด้านการเมืองในสมัยฟื้นฟูบ้านเมือง (รัชกาลที่ 1-2-3) มีหัวข้อควรศึกษา ดังนี้
1.การสงครามกับพม่า
2.ความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ
3.ความสัมพนธ์กับประเทศตะวันตก
1. การทำสงครามกับพม่า
ในสมัยรัตนโกสินทร์ ไทยทำสงครามกับพม่ารวมทั้งสิ้น 10 ครั้ง ในรัชกาลที่ 1 มีถึง 7 ครั้ง เหตุที่ต้องรบพม่าถึง 7 ครั้ง ในรัชกาลนี้ก็เนื่องจากพม่าเริ่มจะพ้นจากความวุ่นวายภายใน โดยพระเจ้าปะดุง (โบดอพญา) ปราบดาภิเษกขึ้นครองราชย์ ใน พ.ศ. 2324 มีกำลังเข้มแข็งสามารถปราบปรามหัวเมืองต่างๆ ในพม่าได้ราบคาบ เห็นว่าไทยก่อตั้งอาณาจักรใหม่ขึ้น จึงต้องการแผ่อำนาจมาปราบปรามไม่ให้เติบใหญ่ได้อีก
พระเจ้าปะดุง คงจะทรงล่วงรู้ถึงพระปรีชาสามารถของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 1 จึงยกทัพมาเป็นทัพใหญ่ ใน พ.ศ. 2328 ประกอบด้วยกองทัพใหญ่น้อย รวมกันถึง 9 ทัพ กรีธาเจ้ามาแบบปูพรมจากเหนือสุดถึงใต้สุด หวังจะแผ่อำนาจครอบคอรงทั่วดินแดนแหลมทองให้จงได้ แม้สงครามครั้งแรกที่เรียกว่า สงคราม 9 ทัพ นี้ พระเจ้าปะดุงจะพ่ายแพ้กลับไปอย่างผิดหวังที่สุด แต่ก็มิได้ลดละความพยายาม ในปีรุ่งขึ้น คือ ปี พ.ศ. 2329 ก็ยกทัพใหญ่อีก คราวนี้ไม่ประมาทฝีมือคนไทย พยายามแก้ไขยุทธวิธี โดยยกทัพใหญ่มาตั้งที่ท่าคิดแดง (กาญจนบุรี) สร้างค่ายใหญ่สะสมเสบียงอาหาร ขุดคูทำหอรบอย่างแข็งแรง แต่ไทยไม่กลัวพม่าเสียแล้ว พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ยกทัพไปตีค่ายที่ท่าดินแดงนี้ เพียง 3 วัน ก็ตีแตกหมดทุกค่าย พม่าพ่ายแพ้คราวนี้เป็นการสูญเสียอย่างยับเยิน กองทัพไทยจับพม่าเป็นเชลยศึกและยึดได้ช้าง ม้า พาหนะ เสบียงอาหาร และศัตราวุธเป็นอันมาก
สงครามไทยกับพม่าในสมัยรัชกาลที่ 1 ที่นับว่าสำคัญมี 2 ครั้ง คือ สงครามเก้าทัพ และสงครามท่าดินแดง จึงสมควรศึกษาสงครามทั้งสองครั้ง พอสังเขปดังนี้
สงครามเก้าทัพ (พ.ศ. 2328)
สงครามครั้งนี้ มีขึ้นหลังจากพระเจ้าปะดุง (ดบดอพญา) ปราบดาภิเษกขึ้นครองราชย์ได้ 4 ปี และพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ปราบดาภิเษกขึ้น
ครองราชย์ได้ 3 ปี
เหตุผล พระเจ้าปะดุงทรงต้องการแผ่อำนาจครอบคลุมดินแดนสุวรรณภูมิ และทำลายอาณาจักรไทยไม่ให้เติบโตเป็นอาณาจักรใหญ่อย่างกรุงศรีอยุธยาได้อีก
ยุทธวิธีฝ่ายพม่า พระเจ้าปะดุงจัดทัพเป็น 9 ทัพ หวังจะให้กองทัพเหล่านี้ รุกเข้าทำลายหัวเมืองต่างๆ ตั้งแต่เหนือจดใต้ แล้วบรรจบกับเข้าตีกรุงเทพมหานคร ตามยุทธวิธีดั้งเดิมที่เคยใช้ได้ดีในสมัยอยุธยา
ทัพพม่าทั้ง 9 ทัพ มีดังนี้
ทัพที่ 1 แบ่งเป็นทัพบกและทัพเรือ ทัพบกมีหน้าที่ตีหัวเมืองปักษ์ใต้ ตั้งแต่เมืองชุมพรถึงสงขลา เป็นการตัดความช่วยเหลือจากทางใต้ ส่วนทัพเรือมีหน้าที่ตีหัวเมืองชายทะเลฝั่งตะวันตก ตั้งแต่เมืองตะกั่วป่าลงไปจนถึงเมืองถลาง และยังมีหน้าที่หาเสบียงอาหารให้แก่กองทัพด้วย
ทัพที่ 2 ให้รวบรวมพลที่หวายและให้เดินทัพเข้าทางด่านบ้องตี้ (ราชบุรี) ให้ตีเมืองราชบุรี เพชรบุรี ไปบรรจบกับทัพที่ 1 ที่ชุมพร
ทัพที่ 3 เข้ามาทางเมืองเชียงแสน ตีเมืองลำปาง สวรรคโลก สุโขทัย นครสวรรค์ ลงมาบรรจบกันทัพหลวงที่กรุงเทพฯ
ทัพที่ 4, 5, 6, 7, 8 ชุมนุมทัพที่เมืองเมาะตะมะก่อน ต่อจากนั้นจึงเดินทัพตามลำดับกับเจ้าเมืองไทยทงด้านพระเจดีย์สามองค์ ลงมาตีกรุงเทพฯ
ทัพที่ 9 มีหน้าที่ตัวเมืองเหนือริมฝั่งแม่น้ำปิง ตั้งแต่เมืองตาก กำแพงเพชร ลงมาบรรจบกับทัพหลวงที่กรุงเทพฯ
ยุทธวิธีฝ่ายไทย พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ 1 ทรงเห็นว่าสงครามคราวนี้พม่ามีรี้พลมากกว่าไทยมาก ยกมาทุกทิศทาง แต่จุดประสงค์ก็คงจะต้องเข้าตีกรุงเทพมหานครในที่สุด หากรอรับศึกในกรุงจะรักษากรุงไว้ไม่ได้เพราะกำลังน้อยกว่า จึงเปลี่ยนยุทธวีธีใหม่ ไม่ตั้งรับในกรุงเหมือนที่เคยทำในสมัยอยุธยา แต่ให้จัดทัพออกไปรับมือข้าศึก ไม่ให้มีโอกาสเข้าประชิดกรุง แต่จะแบ่งกำลังของไทยออกไปรับศึกทุกจุดไม่ได้ จะต้องโจมตีเฉพาะจุดที่สำคัญก่อน เมื่อชนะแล้วจึงค่อยนำกำลังไปโจมตีจุดอื่นๆ ต่อไป จนกว่าจะทำลายทัพพม่าได้หมดสิ้น
การจัดทัพตามยุทธวิธีนี้ ไทยจัดทัพเป็น 4 ทัพ ดังนี้
ทัพที่ 1 (กองทัพวังหน้า) รับผิดชอบทิศตะวันตก กรมพระราชวังบวรฯ เป็นแม่ทัพ ยกไปโจมตีพม่าที่จะยกเข้ามาทางด่านพระเจดีย์สามองค์ (จังหวัดกาญจนบุรี) ทัพวังหน้านี้เป็นทัพใหญ่ที่สุดของไทยเพราะคาดว่าพระเจ้าปะดุงจะยกทัพหลวงหนุนเนื่องเข้ามาด้านนี้
ทัพที่ 2 (กองทัพวังหลัง) รับผิดชอบทิศเหนือ กรมพระราชวังบวรสถานพิมุข (วังหลัง) ขณะยังดำรงพระยศเป็นสมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอนุรักษ์เทเวศร์ (พระยาสุริยอภัย) เป็นแม่ทัพยกไปโจมตีทัพพม่าซี่งจะมาจากทางเหนือ ที่เมืองนครสวรรค์ สกัดไม่ให้ยกมาถึงกรุงเทพฯ ได้
ทัพที่ 3 รับผิดชอบทิศใต้ เจ้าพระยาธรรมา (บุญรอด) เป็นแม่ทัพร่วมกับเจ้าพระยายมราช มีหน้าที่ช่วยกันโจมตีทัพพม่าที่จะยกมาทางใต้ และทางด่านบ้องตี้ (ราชบุรี)
ทัพที่ 4 (ทัพหลวง) พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ 1 ทรงเป็นจอมทัพ ตั้งมั่นอยู่ ณ กรุงเทพมหานคร ทำหน้าที่เป็นกองหนุน ศึกหนักด้านใดจะยกไปช่วยด้านนั้น
สงครามครั้งนี้แม้วาจะกำลังฝ่ายไทยจะน้อยกว่าพม่า แต่อาศัยที่มีผู้นำดีมีความสามารถ ทหารจึงมีกำลังใจเข้มแข็งในการสู้รบ ประกอบกับทหารไทยส่วนใหญ่ได้ผ่านศึกในสงครามกู้ชาติเมือ่ครั้งกรุงธนบุรีมาแล้ว จึงมีความพร้อม สามารถตีทัพพม่าแตกพ่ายไปทุกทัพ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น