วันอังคารที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ประวัติศาสตร์สมัยรัตนโกสินทร์(ตอนต้น)

สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น (รัชกาลที่ 1 – 3)


ขณะเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชขึ้นครองราชย์นั้น  บ้านเมืองยังอยู่ในสภาพทรุดโทราเสียหายมาก  หลังจากพระองค์ตัดสินพระทัยย้ายราชธานี  มาตั้งใหม่ที่บางกอก  ทางฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำเจ้าพระยาก็โปรดให้สร้างกำแพงเมืองและป้อมปราการแข็งแรงมั่นคงสำหรับป้องกันข้าศึก  และทรงสร้างวัดพระศรีรัตนศาสนดารามขึ้นในบริเวณพระบรมมหาราชวังเป็นหลักพระนคร  เพื่อให้เป็นมิ่งขวัญและกำลังใจแก่ประชาชนว่า  ไทยเราได้ฟื้นฟูขึ้นแล้วเหมือนเมื่อครั้นสมัยบ้างเมืองดี  ทรงฟื้นฟูประเทศทุกด้านทุกสาขา  โดยเฉพาะทางด้านศาสนาโปรดให้ทำการสังคายนาสอบสวนพระโตรปิฏกให้ถูกต้องสมบูรณ์เช่นเดียวกับกฎหมายก็โปรดให้ชำระเรียบร้อยใหม่ให้ถูกต้องดังเดิม  เพราะทั้งสองอย่างนี้ถูกพม่าเผาทำลายไปเสียมาก  ส่วนการรักษาเอกราชและความมั่นคงของประเทศนั้น  ได้ทรงทำศึกสงครามกับประเทศเพื่อนบ้านที่มุ่งรุกรานไทย  และได้เจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศมหาอำนาจตะวันตกที่เริ่มจะเข้าติดต่อกับไทยด้วย
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ประวัติศาสตร์สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
การฟื้นฟุชาติบ้านเมืองในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น  จึงเป็นการฟื้นฟูในทุกด้าน  พอสรุปเป็นหัวข้อได้ ดังนี้
1.การดำเนินการด้านการเมือง
2.การดำเนินการด้านการปกครอง
3.การฟื้นฟูและวางรากฐานด้านเศรษฐกิจ
4.การฟื้นฟูและพัฒนาด้านสังคมวัฒนธรรม

1.  การดำเนินการด้านการเมือง
การดำเนินการด้านการเมืองในสมัยฟื้นฟูบ้านเมือง  (รัชกาลที่ 1-2-3)  มีหัวข้อควรศึกษา  ดังนี้
 1.การสงครามกับพม่า
 2.ความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ
 3.ความสัมพนธ์กับประเทศตะวันตก
1. การทำสงครามกับพม่า
         ในสมัยรัตนโกสินทร์  ไทยทำสงครามกับพม่ารวมทั้งสิ้น  10  ครั้ง  ในรัชกาลที่ 1  มีถึง  7  ครั้ง  เหตุที่ต้องรบพม่าถึง  7  ครั้ง  ในรัชกาลนี้ก็เนื่องจากพม่าเริ่มจะพ้นจากความวุ่นวายภายใน  โดยพระเจ้าปะดุง (โบดอพญา)  ปราบดาภิเษกขึ้นครองราชย์  ใน  พ.ศ. 2324  มีกำลังเข้มแข็งสามารถปราบปรามหัวเมืองต่างๆ  ในพม่าได้ราบคาบ  เห็นว่าไทยก่อตั้งอาณาจักรใหม่ขึ้น  จึงต้องการแผ่อำนาจมาปราบปรามไม่ให้เติบใหญ่ได้อีก
พระเจ้าปะดุง  คงจะทรงล่วงรู้ถึงพระปรีชาสามารถของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  รัชกาลที่ 1  จึงยกทัพมาเป็นทัพใหญ่  ใน  พ.ศ. 2328  ประกอบด้วยกองทัพใหญ่น้อย  รวมกันถึง  9  ทัพ  กรีธาเจ้ามาแบบปูพรมจากเหนือสุดถึงใต้สุด  หวังจะแผ่อำนาจครอบคอรงทั่วดินแดนแหลมทองให้จงได้  แม้สงครามครั้งแรกที่เรียกว่า  สงคราม  9  ทัพ  นี้  พระเจ้าปะดุงจะพ่ายแพ้กลับไปอย่างผิดหวังที่สุด  แต่ก็มิได้ลดละความพยายาม  ในปีรุ่งขึ้น คือ ปี พ.ศ. 2329   ก็ยกทัพใหญ่อีก  คราวนี้ไม่ประมาทฝีมือคนไทย  พยายามแก้ไขยุทธวิธี  โดยยกทัพใหญ่มาตั้งที่ท่าคิดแดง  (กาญจนบุรี)  สร้างค่ายใหญ่สะสมเสบียงอาหาร ขุดคูทำหอรบอย่างแข็งแรง  แต่ไทยไม่กลัวพม่าเสียแล้ว  พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช  ยกทัพไปตีค่ายที่ท่าดินแดงนี้ เพียง  3  วัน  ก็ตีแตกหมดทุกค่าย  พม่าพ่ายแพ้คราวนี้เป็นการสูญเสียอย่างยับเยิน  กองทัพไทยจับพม่าเป็นเชลยศึกและยึดได้ช้าง  ม้า  พาหนะ  เสบียงอาหาร  และศัตราวุธเป็นอันมาก
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ประวัติศาสตร์สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
สงครามไทยกับพม่าในสมัยรัชกาลที่ 1  ที่นับว่าสำคัญมี  2  ครั้ง  คือ  สงครามเก้าทัพ  และสงครามท่าดินแดง  จึงสมควรศึกษาสงครามทั้งสองครั้ง  พอสังเขปดังนี้
        สงครามเก้าทัพ  (พ.ศ. 2328)
        สงครามครั้งนี้  มีขึ้นหลังจากพระเจ้าปะดุง (ดบดอพญา)  ปราบดาภิเษกขึ้นครองราชย์ได้  4  ปี  และพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก  ปราบดาภิเษกขึ้น
ครองราชย์ได้  3  ปี
เหตุผล  พระเจ้าปะดุงทรงต้องการแผ่อำนาจครอบคลุมดินแดนสุวรรณภูมิ และทำลายอาณาจักรไทยไม่ให้เติบโตเป็นอาณาจักรใหญ่อย่างกรุงศรีอยุธยาได้อีก
ยุทธวิธีฝ่ายพม่า   พระเจ้าปะดุงจัดทัพเป็น  9  ทัพ  หวังจะให้กองทัพเหล่านี้  รุกเข้าทำลายหัวเมืองต่างๆ  ตั้งแต่เหนือจดใต้  แล้วบรรจบกับเข้าตีกรุงเทพมหานคร  ตามยุทธวิธีดั้งเดิมที่เคยใช้ได้ดีในสมัยอยุธยา
ทัพพม่าทั้ง  9  ทัพ  มีดังนี้
ทัพที่ 1   แบ่งเป็นทัพบกและทัพเรือ  ทัพบกมีหน้าที่ตีหัวเมืองปักษ์ใต้  ตั้งแต่เมืองชุมพรถึงสงขลา  เป็นการตัดความช่วยเหลือจากทางใต้  ส่วนทัพเรือมีหน้าที่ตีหัวเมืองชายทะเลฝั่งตะวันตก  ตั้งแต่เมืองตะกั่วป่าลงไปจนถึงเมืองถลาง  และยังมีหน้าที่หาเสบียงอาหารให้แก่กองทัพด้วย
ทัพที่ 2  ให้รวบรวมพลที่หวายและให้เดินทัพเข้าทางด่านบ้องตี้ (ราชบุรี)  ให้ตีเมืองราชบุรี  เพชรบุรี  ไปบรรจบกับทัพที่ 1  ที่ชุมพร
ทัพที่ 3  เข้ามาทางเมืองเชียงแสน  ตีเมืองลำปาง  สวรรคโลก  สุโขทัย  นครสวรรค์  ลงมาบรรจบกันทัพหลวงที่กรุงเทพฯ
ทัพที่ 4, 5, 6, 7, 8  ชุมนุมทัพที่เมืองเมาะตะมะก่อน  ต่อจากนั้นจึงเดินทัพตามลำดับกับเจ้าเมืองไทยทงด้านพระเจดีย์สามองค์  ลงมาตีกรุงเทพฯ
ทัพที่ 9   มีหน้าที่ตัวเมืองเหนือริมฝั่งแม่น้ำปิง  ตั้งแต่เมืองตาก  กำแพงเพชร  ลงมาบรรจบกับทัพหลวงที่กรุงเทพฯ
ยุทธวิธีฝ่ายไทย    พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก  รัชกาลที่ 1  ทรงเห็นว่าสงครามคราวนี้พม่ามีรี้พลมากกว่าไทยมาก  ยกมาทุกทิศทาง  แต่จุดประสงค์ก็คงจะต้องเข้าตีกรุงเทพมหานครในที่สุด  หากรอรับศึกในกรุงจะรักษากรุงไว้ไม่ได้เพราะกำลังน้อยกว่า  จึงเปลี่ยนยุทธวีธีใหม่ ไม่ตั้งรับในกรุงเหมือนที่เคยทำในสมัยอยุธยา  แต่ให้จัดทัพออกไปรับมือข้าศึก  ไม่ให้มีโอกาสเข้าประชิดกรุง  แต่จะแบ่งกำลังของไทยออกไปรับศึกทุกจุดไม่ได้  จะต้องโจมตีเฉพาะจุดที่สำคัญก่อน  เมื่อชนะแล้วจึงค่อยนำกำลังไปโจมตีจุดอื่นๆ ต่อไป  จนกว่าจะทำลายทัพพม่าได้หมดสิ้น
การจัดทัพตามยุทธวิธีนี้  ไทยจัดทัพเป็น  4 ทัพ  ดังนี้
ทัพที่ 1  (กองทัพวังหน้า)    รับผิดชอบทิศตะวันตก  กรมพระราชวังบวรฯ  เป็นแม่ทัพ  ยกไปโจมตีพม่าที่จะยกเข้ามาทางด่านพระเจดีย์สามองค์ (จังหวัดกาญจนบุรี)  ทัพวังหน้านี้เป็นทัพใหญ่ที่สุดของไทยเพราะคาดว่าพระเจ้าปะดุงจะยกทัพหลวงหนุนเนื่องเข้ามาด้านนี้
ทัพที่ 2  (กองทัพวังหลัง)   รับผิดชอบทิศเหนือ    กรมพระราชวังบวรสถานพิมุข  (วังหลัง)  ขณะยังดำรงพระยศเป็นสมเด็จพระเจ้าหลานเธอ  เจ้าฟ้ากรมหลวงอนุรักษ์เทเวศร์ (พระยาสุริยอภัย)  เป็นแม่ทัพยกไปโจมตีทัพพม่าซี่งจะมาจากทางเหนือ  ที่เมืองนครสวรรค์  สกัดไม่ให้ยกมาถึงกรุงเทพฯ ได้
ทัพที่ 3  รับผิดชอบทิศใต้   เจ้าพระยาธรรมา (บุญรอด)  เป็นแม่ทัพร่วมกับเจ้าพระยายมราช  มีหน้าที่ช่วยกันโจมตีทัพพม่าที่จะยกมาทางใต้  และทางด่านบ้องตี้ (ราชบุรี)
ทัพที่ 4 (ทัพหลวง)   พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก  รัชกาลที่ 1   ทรงเป็นจอมทัพ  ตั้งมั่นอยู่  ณ  กรุงเทพมหานคร  ทำหน้าที่เป็นกองหนุน  ศึกหนักด้านใดจะยกไปช่วยด้านนั้น
สงครามครั้งนี้แม้วาจะกำลังฝ่ายไทยจะน้อยกว่าพม่า  แต่อาศัยที่มีผู้นำดีมีความสามารถ  ทหารจึงมีกำลังใจเข้มแข็งในการสู้รบ  ประกอบกับทหารไทยส่วนใหญ่ได้ผ่านศึกในสงครามกู้ชาติเมือ่ครั้งกรุงธนบุรีมาแล้ว  จึงมีความพร้อม  สามารถตีทัพพม่าแตกพ่ายไปทุกทัพ
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ประวัติศาสตร์สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น